เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 เด็บบี้ สโตทาร์ด (Debbie Stothard) ผู้ประสานงานองค์กร ALTSEAN-Burma (องค์กรสิทธิมนุษยชนภูมิภาค) ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวชายขอบ”ว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อไป โดบประชาชนในพม่าต้องเผชิญกับความรุนแรงจากกองทัพมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีทางอากาศ การยิงปืนใหญ่ถล่มบ้านเรือน วัดพุทธ โรงเรียน โรงพยาบาล และค่ายผู้พลัดถิ่น (IDP) นอกจากนี้ เศรษฐกิจของประเทศก็พังพินาศจากการบริหารที่ผิดพลาดของกองทัพ ตัวอย่างหนึ่งคือ ราคาข้าวสารเพิ่มขึ้นถึง 400% ภายในระยะเวลา 4 ปี
เด็บบี้ สโตทาร์ด กล่าวว่า สิ่งแรกที่ต้องตระหนักคือ กองทัพพม่าได้ทำการโจมตีทางอากาศเพียงไม่นานหลังจากเกิดแผ่นดินไหวในวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า กองทัพใช้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นในเหตุการณ์พายุไซโคลนนากีส หรือไต้ฝุ่นยางิ ล้วนแต่ทำให้ประชาชนต้องทนทุกข์มากขึ้น
“การโจมตีทางอากาศเกิดขึ้นหลังแผ่นดินไหวไม่นาน กองทัพได้ส่งเครื่องบินรบ 3 ลำ บินวนเหนือหมู่บ้านแห่งหนึ่งในรัฐฉานตอนเหนือ ก่อนจะทิ้งระเบิด 9 ลูกใส่หลุมหลบภัย พื้นที่ที่ถูกโจมตีไม่ใช่สมรภูมิรบ แต่เป็นพื้นที่ภูเขาซึ่งอยู่ห่างจากแนวปะทะ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ความรุนแรงที่มุ่งเป้าไปที่พลเรือนได้ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคสะกาย ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชน” เด็บบี้ สโตทาร์ด กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงนานาชาติต้องการส่งมอบความช่วยเหลือควรทำอย่างไร เด็บบี้ สโตทาร์ด กล่าวด้วยว่า 1. กดดันให้กองทัพเมียนมายุติการโจมตีทางอากาศและปฏิบัติการทางทหารเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ 2. อนุญาตให้มีการส่งความช่วยเหลือข้ามพรมแดน ซึ่งมีองค์กรช่วยเหลือที่ดำเนินการโดยชุมชนตามแนวชายแดนไทย-พม่าจำนวนมาก รัฐบาลควรอนุญาตให้พวกเขาปฏิบัติงานได้อย่างอิสระ และรับ-แจกจ่ายความช่วยเหลือทั้งในและต่างประเทศอย่างปลอดภัย รวมถึงการอนุญาตให้องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ใช้ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมเพื่อการประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูล
3. ยุติการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวพม่ากลับประเทศ ในปีที่ผ่านมา ผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่ถูกเนรเทศกลับ ถูกกองทัพบังคับเกณฑ์ไปเป็นทหาร ซึ่งยิ่งทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น
ขณะที่สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National union-KNU) ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อประชาชนชาวพม่า สำหรับความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงครั้งนี้ KNU ขอขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลนานาชาติ องค์กรต่างๆ มูลนิธิการกุศล และบุคคลทั่วไปที่ได้แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและให้การสนับสนุนแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้
“เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่เราต้องกล่าวถึงการกระทำอย่างต่อเนื่องของสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ซึ่งยังคงดำเนินการโจมตีทางอากาศในพื้นที่พลเรือน แม้ว่าประชาชนกำลังทุกข์ทรมานอย่างมากจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ปกติ สถาบันทหาร ควรมีบทบาทในการเป็นผู้นำในการรับมือกับวิกฤติระดับชาติ อย่างไรก็ตาม ภายใต้การควบคุมของ SAC ในปัจจุบัน กองทัพกลับมุ่งเน้นไปที่การแสวงหาทรัพยากรและผลประโยชน์ของตนเอง รวมถึงใช้กำลังทางทหารโจมตีประชาชนของตนเอง”แถลงการณ์ระบุ
แถลงการณ์ระบุว่า KNU ขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศสนับสนุนความพยายามในการช่วยเหลือผ่านกลุ่มชุมชนท้องถิ่นที่สามารถให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ที่ผ่านมากองทัพพม่าเคยใช้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศในทางที่ผิด ขอเรียกร้องให้มีการจัดตั้งกลไกการตรวจสอบที่เข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทาง
ในวันเดียวกันเครือข่ายด้านสิทธิมนุษยชนที่ทำงานเชื่อมโยงเกี่ยวกับพม่า 258 องค์กรจากทั่วโลก อาทิ U.S. Campaign for Burma, Swedish Burma Committee, New Zealand Campaign for Myanmar, Myanmar Action Group Denmark, Justice For Myanmar ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์โดยระบุว่า ในฐานะองค์กรภาคประชาสังคมเมียนมา ภูมิภาค เห็นว่าการส่งมอบความช่วยเหลือให้ถึงมือผู้ประสบภัยและชุมชนที่ได้รับผลกระทบต้องกระทำผ่านกลุ่มชุมชนท้องถิ่นและคนทำงานแนวหน้า ด้วยความร่วมมือกับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government) หรือ NGO องค์การปฏิวัติชาติพันธุ์ต่าง ๆ และภาคประชาสังคมเมียนมาเท่านั้น เพราะความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์จากภัยพิบัติ ไม่ว่าจะดำเนินการผ่านผู้ใด จะต้องไม่ถูกนำไปแสวงประโยชน์ บิดเบือน หรือตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองและการทหารของเผด็จการทหารเมียนมาอย่างเด็ดขาด
แถลงการณ์ระบุว่า ในช่วงเวลาที่เมียนมาประสบภัยพิบัติจากพายุไซโคลนนาร์กิสเมื่อปีพ.ศ. 2561 เผด็จการทหารได้ใช้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เป็นเครื่องมือควบคุมผลการลงประชามติรัฐธรรมนูญ ความช่วยเหลือนานาชาติถูกกีดกันไม่ให้เข้าประเทศและถึงมือผู้ประสบภัยเพื่อกดดันให้พวกเขาลงคะแนนเสียงสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ซึ่งกำหนดให้กองทัพสามารถควบคุมและแทรกแซงทางการเมืองต่อไปได้ นอกจากนี้ อาสาสมัครท้องถิ่นจากกลุ่มประชาธิปไตยถูกจับกุมคุมขังเมื่อพยายามส่งมอบความช่วยเหลือด้วยตนเอง ทั้งหมดนี้ส่งผลให้การดำเนินการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมอันสำคัญเป็นไปอย่างล่าช้า และก่อให้เกิดความสูญเสียมหาศาล
“เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เผด็จการทหารเมียนมาได้สั่งปิดโรงพยาบาลเอกชนในมัณฑะเลย์ไป 7 แห่ง หลังจากที่มีข้อกล่าวหาว่าบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเป็นผู้ร่วมขบวนการอารยะขัดขืน (Civil Disobedience Movement) ส่งผลให้ศักยภาพทางการแพทย์ในมัณฑะเลย์ซึ่งพังพินาศจากแผ่นดินไหวมีอยู่จำกัดมาก นอกจากนี้ การสั่งปิดระบบอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์นานเป็นปี ควบคู่ไปกับการปราบปรามการใช้เครือข่ายเสมือนเพื่อความปลอดภัยทางอินเตอร์เนต (Virtual Private Network – VPN) ยังจำกัดการเดินทางของข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความเสียหายภายในประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อการส่งความช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉิน”แถลงการณ์ ระบุ
แถลงการณ์ระบุว่า ขอเรียกร้องให้หน่วยงานต่าง ๆ ของสหประชาชาติ ศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมด้านการจัดการภัยพิบัติ (ศูนย์ AHA) ประเทศเพื่อนบ้าน องค์การระหว่างประเทศ และประชาคมนานาชาติ ประสานงาน โดยตรง กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีความชอบ เพื่อให้มั่นใจว่า ความช่วยเหลือจะไม่ถูกขัดขวาง บิดเบือน หรือตกเป็นอาวุธของเผด็จการทหาร ความช่วยเหลือจะต้องสามารถเข้าถึงผู้ประสบภัยและชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยไม่ล่าช้า ผ่านช่องทางชายแดนซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด