ผ่านมา 3 วันหลังเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ถล่มเมื่อ 28 มี.ค. 2568 แรงงานข้ามชาติที่ยังคงตามหาญาติ คนรู้จักของพวกเขาไม่พบ ยังคงรอคอยความช่วยเหลือ ด้านภาคประชาสังคมมองอุปสรรคสำคัญคือ ‘จำนวนบริษัทรับเหมา’ ที่มาก ทำให้เช็กสถานะ และสิทธิลำบาก พร้อมชงข้อเสนอ 4 ข้อถึงภาครัฐช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ
ทูซาร์ (Thu Zar) เป็นหนึ่งในแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา ที่ทำงานก่อสร้างและเธอกำลังตามหาเพื่อนร่วมงานที่หายไป 4 คนจากเหตุการณ์อาคารถล่ม ประกอบด้วย ชาวเมียนมา 3 คนได้แก่ อ่องจ่อเพียว (Aung Kyaw Phyo) อายุ 21 ปี มยิ้ดทุน (Myint Tun) อายุ 31 ปี ซออ่องเยโซ (Saw Aung Ye Soe) อายุ 32 ปี เพศชาย และอีก 1 คนเป็นคนสัญชาติไทย
ทูซาร์ เผยว่า ตอนนี้เวลาผ่านมา 3 วันแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อหรือความช่วยเหลือใดๆ จากภาครัฐ มีเพียงการเปิดให้เธอลงทะเบียนแจ้งคนสูญหายเท่านั้น ทำให้ตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค. เป็นต้นมา ทูซาร์ต้องเดินทางโดยรถแท็กซี่ที่มีค่าใช้ 300 บาทจากบริเวณแคมป์คนงานที่เธอพักอาศัยบริเวณ คลอง 3 อ. คลองหลวง จ.ปทุมธานี ติดต่อกันมา 3 วัน เพื่อมาติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวที่บริเวณตึก สตง.ที่ถล่มลงมา
“ตอนนี้เราไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย และไม่รู้ว่าต้องไปหาใครที่ไหนอย่างไร” แรงงานชาวเมียนมา ระบุ
เธอบอกว่า เธอและเพื่อนร่วมงานที่สูญหายนั้นทำงานให้กับบริษัท S.A. Construction ที่เป็นหนึ่งในการผู้จ้างเหมาช่วง ในการสร้างอาคารดังกล่าว สิ่งเดียวที่เธอทำได้ตอนนี้คือการขอนายจ้างลาหยุดงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง และเดินทางมาติดตามความคืบหน้าการค้นหาเพื่อนร่วมงานของเธอด้วยตนเอง
รวีพร ดอกไม้ ผู้ประสานคลินิกกฎหมายแรงงาน มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF) ที่เป็นคนประสานงานช่วยเหลือทูซาร์ เผยว่า ตามข้อมูลที่มีพบว่าคนงานที่ติดอยู่ในซากอาคารตอนนี้มีคนไทย 52 คน เมียนมา 26 คน ลาวและกัมพูชาอย่างละ 1 คน และระบุตัวตนไม่ได้ 24 คน โดยในจำนวนนี้พบว่าเป็นการจ้างงานเหมาช่วง
ข้อมูลจากเครือข่ายที่ทำงานด้านองค์กรประชากรข้ามชาติ (MWG) พบว่ามีบริษัทคู่สัญญารับเหมาสร้างตึก สตง. คือ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 และ บริษัท อิตาเลียนไทย เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยมีผู้จ้างเหมาช่วงและมีแรงงานทำงานในตึกขณะเกิดเหตุประมาณ 15 บริษัทและผู้รับเหมาประกอบด้วย
1.บริษัท 9 พีเค
2.ทีมงานช่างสำรวจที่ถูกจ้างเป็นทีมสำรวจงานสถาปัตย์
3.บริษัทยูนิค
4.บริษัทเอสเอ
5.บริษัท TTSW
6.บริษัท CN progress
7.บริษัท P&J
8.บริษัทก้องเก้า
9.ผู้รับเหมาส่วนบุคคล
10.บริษัทภูมิสเคป
11.ผู้รับเหมานอก
12.ผู้รับเหมานอกที่ บ.ไชน่า จ้าง
13.ผู้รับเหมานอกที่ บ.ไชน่า จ้าง
14.ผู้รับเหมานอกที่ บ.ไชน่า จ้าง
15.ผู้รับเหมานอกที่ บ.ไชน่า จ้าง
เนื่องด้วยผู้รับจ้างเหมาช่วงมีจำนวนมาก 15 บริษัท ทำให้การตรวจสอบสถานะคนงาน สิทธิการรักษาพยาบาล และอื่นๆ เป็นไปอย่างยากลำบาก
อีกปัจจัยหนึ่ง ช่วงที่เกิดเหตุตึกถล่ม ประจวบเหมาะกับการต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติ ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการจนถึง 31 มี.ค.นี้ ฉะนั้น วรีพร แสดงความกังวลเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายการรักษา ค่ารักษาพยาบาล และเอกสารประจำตัวของแรงงานข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบจากอาคารถล่ม และเรียกร้องให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน และสำนักงานประกันสังคม ต้องมีความชัดเจนต่อแนวทางการจัดการเรื่องนี้ว่า แรงงานข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบจะมีสิทธิอะไรบ้าง
ด้านซายทุนส่วย ที่ทำหน้าที่ล่ามและเป็นตัวแทนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา ที่อยู่ในพื้นที่อาคารถล่มตลอด 3 วันที่ผ่านมา ระบุถึงสถานการณ์ความเป็นอยู่ของแรงงานข้ามชาติว่า แรงงานส่วนใหญ่มีความกังวลในเรื่องการตามหาญาติตัวเองไม่พบ รวมทั้งการขาดคนกลางประสานงานกับหน่วยงานรัฐ เช่น โรงพยาบาลที่พวกเขาต้องเดินทางไปติดต่อด้วยตนเอง แต่ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ได้
“แรงงานในพื้นที่ตอนนี้ไม่มีที่พึ่ง คนงานที่เคยทำงานอยู่ในไซต์ก่อสร้างที่อาคารถล่มถูกลอยแพ เงินค่าแรงที่ทำไปแล้วก็ยังไม่ได้รับ กลายเป็นผลกระทบที่ลุกลามต่อจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น” ซายทุนส่วย ระบุ
ซายทุนส่วย สะท้อนเสียงจากแรงงานว่าแรงงานก่อสร้างที่มาทำงานก่อสร้างอาคาร สตง. เดินทางมาจากหลายไซต์งาน เช่น ห้วยขวาง ดอนเมือง เจริญกรุง บางแค คลองเตย เป็นต้น รวมทั้งมาจากหลายนายจ้างที่ทำให้ยากต่อการช่วยเหลือและเยียวยา มีนายจ้างรับเหมาไม่ติดต่อลูกจ้าง ทำให้หลายคนไม่ทราบชะตากรรม ซึ่งกระทรวงแรงงานไม่ทำงานเชิงรุกร่วมกับนายจ้างเพื่อทำ ‘บัญชีลูกจ้าง’ รวมทั้งยืนยันสิทธิว่าลูกจ้างทุกคนมีประกันสังคม
โดยข้อมูลจากกรมจัดหางานพบว่า มีจำนวนแรงงานข้ามชาติที่ทำงานก่อสร้างอยู่ทั้งหมด 666,130 คน แบ่งเป็นประเภทนำเข้าตาม MoU 112,032 คน, ตามมติครม. 7 กุมภาพันธ์ 2566 288,321 คน, ตามมติ ครม. 3 ตุลาคม 2566 265,777 คน ซึ่งอุบัติเหตุครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการก่อสร้าง
ทางอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ ได้ให้ข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงานไว้ 4 ข้อคือ
1.งานก่อสร้างเป็นลักษณะการทำงานที่มีหลายผู้รับจ้างงานช่วง ดังนั้นถ้าดึงฐานข้อมูลจากผู้รับจ้างงานช่วงไม่ได้ จะไม่สามารถประเมินความเสียหายของคนงานได้ ดังนั้น กระทรวงแรงงานต้องเรียกบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์10 และ บริษัทอิตาเลียนไทย ส่งชื่อบริษัทรับเหมาที่เข้าไปทำงาน และรายชื่อของลูกจ้างของแต่ละผู้รับเหมา รวมทั้งหลักฐานการนำส่งประกันสังคมและกองทุนทดแทน
โดยอดิศร เชื่อว่า จำนวนคนงานที่สูญหาย ไม่ได้มีเพียงแค่ตัวเลขที่ถูกเปิดเผยออกมาเท่านั้น
2. เรื่องของกระบวนการประสานงานและการสื่อสารที่ยังขาดความชัดเจน ยังพบกรณีที่แรงงานข้ามชาติไปขอรับความช่วยเหลือแต่ไม่สามารถสื่อสารกับหน่วยงานต่างๆ ได้ ดังนั้น กระทรวงแรงงานควรเป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างตัวแรงงานข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบกับหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
3. การเยียวยารับผิดชอบจะต้องใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน ให้นายจ้างชั้นต้นที่เป็นบริษัทคู่สัญญาที่รับเหมาสร้างตึก ร่วมรับผิดชอบค่าชดเชย โดยไม่ให้ความรับผิดชอบทั้งหมดตกไปอยู่กับผู้รับเหมารายย่อย
4. กระบวนการทางเอกสารและการพิสูจน์ตัวตน ซึ่งบทเรียนที่ผ่านมาพบว่าการพิสูจน์ตัวตน และทายาทผู้รับผิดชอบในกลุ่มแรงงานข้ามชาติทำได้ค่อนข้างยาก จึงควรมีจุดประสานงานเรื่องนี้ที่ชัดเจน เพื่อทำงานตรวจสอบ และดูแลแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้อย่างครอบคลุม
“กระทรวงแรงงานควรประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินจำเป็นสำหรับแรงงาน” อดิศร ระบุ
อดิศร กล่าวในตอนท้าย โดยแสดงความเป็นกังวลว่า ตอนนี้กลุ่มแรงงานข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อาคารถล่ม ยังไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจน รวมทั้งในเรื่องของการตกอยู่ภายใต้สภาวะตกงาน ซึ่งกระทรวงแรงงานก็ควรที่จะเข้ามาช่วยเหลือและจัดหางานให้คนงานกลุ่มนี้โดยเร่งด่วน ซึ่งถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของกระทรวงแรงงาน
โดยอัปเดตสถานการณ์ล่าสุดเวลา 16.20 น. พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนระหว่างลงพื้นที่ตึก สตง.ถล่ม กล่าวว่า ขณะนี้กำลังหารืออยู่กับบริษัทผู้รับเหมา เพื่อตรวจสอบสิทธิประกันสังคมของรายงาน 18 คน ที่มีการยืนยันการเสียชีวิต โดยหากอยู่ในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ก็จะได้รับเงินเยียวยาประมาณ 2 ล้านบาท แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม บริษัทรับเหมาจะต้องรับผิดชอบ
พิพัฒน์ กล่าวต่อว่าวันนี้กระทรวงแรงงานจะเริ่มมาตั้งศูนย์ประสาน 24 ชม. และได้นำล่ามทั้งภาษากัมพูชา และพม่า เพื่อให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาติดต่อประสานงานแจ้งคนหายได้